มาตรฐานการชุบอโนไดซ์

Specification MIL-A-8625 specifies requirements and testing procedures for the anodizing of aluminum alloys. It is a military standard of the United States that ensures the quality and performance of anodized coatings for military applications. MIL-A-8625 defines various types and classes of anodizing, including chromic acid anodizing (Type I), sulfuric acid anodizing (Type II), and hard coat anodizing (Type III). The standard covers aspects such as coating thickness, testing methods, sealing, color, and quality assurance provisions. It is widely recognized and important for ensuring the durability and corrosion resistance of aluminum components used in military equipment and devices.


มาตรฐาน MIL-A-8625 เป็นมาตรฐานทางทหารของสหรัฐอเมริกาที่กำหนดข้อกำหนดและวิธีการทดสอบสำหรับกระบวนการชุบอโนไดซิงของโลหะอลูมิเนียม มาตรฐานนี้ถูกสร้างขึ้นโดยหน่วยงานทหารของสหรัฐอเมริกาเพื่อให้มั่นใจว่าการผลิตและการทดสอบการชุบอโนไดซิงของโลหะอลูมิเนียมที่ใช้ในการผลิตอาวุธและอุปกรณ์ทหารมีคุณภาพและประสิทธิภาพตามที่ต้องการ

AMS 2471 is a specification issued by SAE International, formerly known as the Society of Automotive Engineers, detailing the requirements for plating of aluminum alloys with electroless nickel. This specification outlines the procedures, materials, and quality control measures necessary for the application of electroless nickel coatings on aluminum substrates for various industrial applications. Electroless nickel plating provides corrosion resistance, wear resistance, and improved surface finish to aluminum components, making them suitable for use in demanding environments such as aerospace and automotive industries

มาตรฐาน MIL-A-8625 ได้แบ่งการชุบอโนไดซิงออกเป็นหลายประเภทรวมถึง:

  1. Type I - Chromic Acid Anodizing: เป็นกระบวนการชุบโดยใช้กรดโครมิก เน้นไปที่การเตรียมพื้นผิวของโลหะก่อนการชุบเพื่อให้สามารถยึดเชื่อมต่อกับผิวของโลหะได้ดีขึ้น

  2. Type II - Sulfuric Acid Anodizing: เป็นการชุบโดยใช้กรดซัลฟูริก เป็นกระบวนการที่มักจะให้ผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแรงและความทนทานมากขึ้น

  3. Type III - Hard Coat Anodizing: เป็นกระบวนการชุบที่มีความหนาแน่นและความแข็งแกร่งมากขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความทนทานและความคงทนต่อสภาพแวดล้อมที่ทรงพลังมาก

มาตรฐาน MIL-A-8625 เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตอุปกรณ์ทางทหารและมักจะเป็นการตัดสินใจสำคัญในการเลือกทราบว่าสภาพผิวของโลหะอลูมิเนียมที่ถูกชุบอโนไดซิงมีคุณภาพที่มีประสิทธิภาพ


การชุบอโนไดซิง (Anodizing) เป็นกระบวนการการปรับปรุงผิวของโลหะที่ใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อสร้างผิวที่แข็งแรงและทนทานมากขึ้น กระบวนการนี้มักใช้กับโลหะอลูมิเนียมเป็นหลัก โดยที่โลหะจะถูกจำนวนมากผ่านกระแสไฟฟ้าในสารละลายกรดหรือด่าง โดยส่วนที่ต้องการชุบจะถูกใช้เป็นอนุภาคกระบวนการนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการสึกหรอและการสกปรกของโลหะ นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการให้ความสวยงามและสีสันที่หลากหลายให้กับผิวของโลหะด้วย

การชุบอโนไดซิงสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามสารละลายที่ใช้ และเงื่อนไขการชุบ เช่น:

  1. ชุบอโนไดซิงแบบธรรมดา (Standard Anodizing): ใช้กระแสไฟฟ้าในสารละลายกรดอัลฟาหรือกรดซัลฟาต่ำเพื่อสร้างผิวที่แข็งแรงและทนทาน
  2. ชุบอโนไดซิงแบบที่มีสี (Color Anodizing): ใช้กระแสไฟฟ้าในสารละลายที่มีสารเพิ่มสีเพื่อให้ได้ผิวที่มีสีสันต่าง ๆ
  3. ชุบอโนไดซิงแบบ Hard Anodizing: ใช้กระแสไฟฟ้าแรงโดยใช้สารละลายกรดอัลฟาเข้มข้นเพื่อให้ได้ผิวที่มีความแข็งแรงมากขึ้น
  4. ชุบอโนไดซิงแบบอุณหภูมิสูง (High-Temperature Anodizing): กระบวนการชุบที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเพื่อสร้างผิวที่มีความแข็งแรงและความทนทานในอุณหภูมิสูง

การชุบอโนไดซิงเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการป้องกันการสึกหรอและการย่อยตัวของโลหะ และมักนำมาใช้ในการผลิตชิ้นงานที่ต้องการความทนทานและความสวยงามในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ยานยนต์ อาหาร และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

การวัดความหนาของการชุบอโนไดซ์นั้นสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่ามีการชุบอโนไดซ์ในปริมาณที่เพียงพอและตรงตามข้อกำหนดหรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ เช่นในงานอุตสาหกรรมหรืองานที่ต้องการความแข็งแรงและความปลอดภัย โดยทั่วไปแล้วมีวิธีการที่ใช้ในการวัดความหนาของการชุบอโนไดซ์ดังนี้: 1. **เครื่องมือวัด:** ใช้เครื่องมือวัดความหนา เช่น Micrometer หรือ Coating Thickness Gauge ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อวัดความหนาของผิวชุบได้อย่างแม่นยำ 2. **เตรียมพื้นผิว:** ก่อนที่จะวัดความหนาของการชุบอโนไดซ์ ควรเตรียมพื้นผิวโดยการทำความสะอาดและเตรียมพื้นผิวให้เรียบเนียน 3. **วัดความหนา:** วางเครื่องมือวัดความหนาลงบนพื้นผิวที่ชุบอโนไดซ์และทำการวัดความหนาของการชุบอโนไดซ์ โดยความหนาที่วัดได้จะแสดงในหน่วยเป็น micron (ไมโครเมตร) หรือ mil (หน่วยที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม) 4. **การตรวจสอบ:** ตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการวัดความหนาของการชุบอโนไดซ์ว่าตรงกับข้อกำหนดหรือมาตรฐานที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยควรเปรียบเทียบกับข้อกำหนดหรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่นมาตรฐาน MIL-A-8625

เราแนะนำชุบกับเรา Type II and Type III

ทนทานแสงแดด Test UV มากกว่า 250ชม. อ้างอิงตามความหนาและขั้นตอนการชุบที่บริษัทไพฑูรย์ กำหนด

ทนทานกรดเกลือ Salt Spary Test มากกว่า 400 ชม. อ้างอิงตามความหนาและขั้นตอนการชุบที่บริษัทไพฑูรย์ กำหนด

ทนทานการวางตากแดด UV Sun มากกว่า 3 เดือน สีไมซีดหรือจางลง อ้างอิงตามความหนาและขั้นตอนการชุบที่บริษัทไพฑูรย์ กำหนด

ความแข็งผิวชุบ Type III มากกว่า 400 Hv



Visitors: 11,348